UN รับมติจี้ “อิสราเอล” รับผิดชอบอาชญากรรมสงคราม

ล่าสุด คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHRC ได้รับรองมติเรียกร้องให้อิสราเอลรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามและอาชญกรรมต่อมนุษยชาติที่อาจเกิดขึ้นในฉนวนกาซา ขณะที่อิสราเอลก็ออกมาโต้ ไม่ยอมรับมติดังกล่าวโดยชี้ว่าเป็นความบิดเบือน

มติดังกล่าวได้รับการรับรองจาก 28 ประเทศสมาชิก UNHRC จากสมาชิกทั้งหมด 47 ประเทศด้วยกัน ส่วนประเทศที่งดออกเสียงมีอยู่ 13 ประเทศ และโหวตคัดค้าน 6 ประเทศ ซึ่งมีสหรัฐฯ และเยอรมนีรวมอยู่ด้วย

โดยสหรัฐฯ ให้เหตุผลการโหวตค้านมติว่าเป็นเพราะในเนื้อหาไม่มีการประณามการกระทำของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว

มติดังกล่าวเน้นย้ำความจำเป็นที่ต้องทำให้แน่ใจว่าจะเกิดความรับผิดชอบต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยกรรมสากลทั้งหมด รวมถึงกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเพื่อยุติการลอยนวลพ้นผิด โดยยังระบุว่ากังวลอย่างยิ่งต่อรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตลอดจนการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงอาชญากรรมสงครามและการอาชญกรรมต่อมนุษยชาติที่อาจเกิดขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง

มติของ UNHRC ยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ หยุดขาย ถ่ายโอนและส่งมอบอาวุธให้กับอิสราเอลเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อไปด้วย

มตินี้ถูกเสนอเข้าที่ประชุมโดยปากีสถานในนามตัวแทนองค์การความร่วมมืออิสลาม โดยในร่างมติที่ถูกเสนอยังครอบคลุมถึงการเรียกร้องให้หยุดยิงทันทีและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน โดยการรับมตินี้ถือเป็นครั้งแรกที่ UNHRC ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติแสดงจุดยืนต่อสงครามในกาซา และถึงแม้มติของ UNHRC ไม่มีข้อผูกมัด แต่ก็ถือเป็นการเพิ่มแรงกดดันจากนานาชาติต่ออิสราเอล

อย่างไรก็ตาม หลัง UNHRC โหวตรับมติดังกล่าว ก็มีเสียงค้านจาก ‘เมราฟ อีลอน ชาฮาร์’ ผู้แทนถาวรของอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ที่บอกว่าการรับมติดังกล่าวไม่ต่างจากการบอกว่าอิสราเอลไม่มีสิทธิ์ปกป้องประชาชนของตัวเองในขณะที่ฮามาสมีสิทธิ์สังหารและทรมานชาวอิสราเอลผู้บริสุทธิ์ โดยกล่าวหาว่าคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนนั้นทอดทิ้งชาวอิสราเอลและปกป้องฮามาส

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่อิสราเอลกำลังเผชิญแรงกดดันเพิ่มจากทั่วโลก หลังการทำสงครามในฉนวนกาซาเพื่อขจัดกลุ่มฮามาสคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วกว่า 33,000 คน ร้อยละ 75 ของประชากรต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน รวมถึงยังต้องเผชิญวิกฤตมนุษยธรรมครั้งเลวร้ายจากการขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรคและเชื้อเพลิงจากการถูกปิดล้อม

ขณะเดียวกัน การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลที่ทำให้เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ 7 คน ของ World Central Kitchen หรือ WCK องค์กรการกุศลที่มีสำนักงานอยู่ในสหรัฐฯ เสียชีวิตระหว่างลำเลียงความช่วยเหลือเข้าไปให้พลเรือนในฉนวนกาซาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแม้ได้รับการอนุญาตจากกองทัพอิสราเอลแล้ว ก็ยิ่งทำให้อิสราเอลเผชิญเสียงวิจารณ์หนักจากนานาชาติ โดยเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทั้ง 7 คนนั้นมีทั้งชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย โปแลนด์ อเมริกัน-แคนาเดียน และชาวปาเลสไตน์รวมอยู่ด้วย

เมื่อวันที่ 5 เม.ย. กองกำลังป้องกันอิสราเอล หรือ IDF ได้แถลงถึงผลรายงานการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว โดยพบว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของปฏิบัติการระบุตัวตน การตัดสินใจ และการโจมตีที่ละเมิดมาตรฐานแนวปฏิบัติ โดยพบว่ากองกำลังของอิสราเอลเข้าใจผิดว่ากำลังโจมตีกลุ่มมือปืนของฮามาสในขณะที่ใช้โดรนโจมตีขบวนรถของเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ WCK

IDF ได้สั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูง 2 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการออกจากตำแหน่ง และยังเรียกตำหนิผู้บัญชาการอีก 3 นายอย่างเป็นทางการคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

อย่างไรก็ตาม หลังอิสราเอลเผยผลการสอบสวน WCA ก็ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนเหตุการณ์นี้ โดยชี้ว่ากองทัพอิสราเอลไม่สามารถสืบสวนความล้มเหลวของตัวเองในฉนวนกาซาได้อย่างน่าเชื่อถือ พร้อมระบุว่าอิสราเอลต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในการรับรองความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือที่ปฏิบัติการอยู่ในภาคพื้นดินของฉนวนกาซา ซึ่งตอนนี้มีหลายองค์กรที่ระงับปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมไปแล้วเป็นผลจากเหตุการโจมตีทางอากาศของกองทัพอิสราเอลสังหารเจ้าหน้าที่ของ WCA

ขณะเดียวกัน ‘อันโตนิโอ กูเตอร์เรส’ เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า นับตั้งแต่สงครามในกาซาเริ่มต้นขึ้น จนถึงตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือเสียชีวิตในกาซาไปแล้ว 196 คน โดยระบุว่าสิ่งที่อยากรู้คือทำไมแต่ละคนถึงถูกสังหาร รัฐบาลอิสราเอลยอมรับความผิดพลาดแต่ปัญหาสำคัญไม่ใช่ว่าใครทำความผิดพลาดนั้น แต่คือยุทธศาสตร์และขั้นตอนปฏิบัติที่ปล่อยให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมระบุว่าการแก้ไขความผิดพลาดเหล่านี้จำเป็นต้องมีสอบสวนอย่างเป็นอิสระ และการเปลี่ยนแปลงปฏิบัติการในภาคพื้นอย่างมีความหมายและสามารถประเมินวัดผลได้

และในขณะที่ดูเหมือนว่าทุกแรงกดดันตอนนี้จะพุ่งไปที่อิสราเอล แต่ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เขียนจดหมายเรียกร้องไปยังผู้นำอียิปต์และกาตาร์ ซึ่งเป็นตัวกลางเจรจาหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ให้กดดันกลุ่มฮามาสให้เห็นชอบประเด็นการปล่อยตัวประกันในข้อตกลงหยุดยิงก่อนที่การเจรจารอบใหม่จะเริ่มขึ้นในสุดสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรมองว่าการหยุดยิงจำเป็นต่อการส่งความช่วยเหลือมนุษยธรรมเข้าไปในกาซา โดยเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวระบุว่า การหยุดยิงจะเกิดขึ้นได้วันนี้หากฮามาสยอมปล่อยตัวประกันที่ถูกจัดว่าอ่อนแอ ได้แก่คนป่วย ผู้บาดเจ็บ คนสูงวัยและผู้หญิงอายุน้อย โดยในข้อเสนอหยุดยิงล่าสุดนั้นการหยุดยิงจะมีขึ้น 6 สัปดาห์แลกกับการปล่อยตัวประกันประเภทดังกล่าวที่กลุ่มฮามาสควบคุมตัวเอาไว้ แต่จนถึงตอนนี้การเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงหยุดยิงนั้นไม่คืบหน้า

เซย์เยด ฮัสซาน นาสรัลลาห์’ (Sayyed Hassan Nasrallah) ผู้นำเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านและมีสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับฮามาส แถลงผ่านทีวีเมื่อวานนี้ว่า สนับสนุนสิทธิ์ของอิหร่านในการลงโทษอิสราเอล โดยบอกว่าการตอบโต้ของอิหร่านต่อเหตุโจมตีสถานกงสุลในกรุงดาร์มัสกัสจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เหตุโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรียเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้สมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านเสียชีวิต 7 นาย รวมถึงนายพลระดับสูง 2 คน อิหร่านประณามอิสราเอลว่าอยู่เบื้องหลังและประกาศจะแก้แค้น

ขณะที่อิสราเอลก็เตรียมพร้อมรับการโจมตีตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้น โดยสั่งยกเลิกการลาสำหรับหน่วยรบทั้งหมดและระดมกำลังเข้าหน่วยป้องกันทางอากาศเพิ่ม

จนถึงตอนนี้อิหร่านพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมสงครามโดยตรง แต่ให้การสนับสนุนการโจมตีเป้าหมายของอิสราเอลและสหรัฐฯ โดยกลุ่มพันธมิตรที่มีอยู่ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง

ส่วนนักวิเคราะห์หลายคนก็บอกว่า นักการศาสนาชนชั้นนำของอิหร่านนั้นไม่อยากเปิดสงครามเต็มรูปแบบกับอิสราเอลและสหรัฐฯ เพราะเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจ โดยมองว่าการสนับสนุนกลุ่มตัวแทนให้ทำสงครามต่อไปน่าจะเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำอิหร่านต้องการมากกว่า